1. เมืองเเชฟชาอูน (Chefchaouen) เที่ยวโมรอคโค เที่ยวเมืองสีฟ้าสุดยอดเมืองโรแมนติก เป็นเมืองเล็กที่อยู่บนเขา Rif อยู่ใกล้เมืองแทนเจียร์ เมืองนี้ถูกค้นพบใน ค.ศ.1471 โดยมีลักษณะเป็นเมืองป้อมปราการเล็กๆ ที่ยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้ เชฟชาวเอิน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของโมรอคโค ด้วยความที่มีเสน่ห์ของเมืองที่ทาบ้านเรือนกำแพงทางเท้าเป็นสีฟ้าทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เมืองนี้จึงมีบรรยากาศที่สวยงามและน่าพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชาวยุโรปที่นิยมเดินทางมาพักผ่อนที่เมืองนี้เป็นจำนวนมากในช่วงฤดูร้อน
เอกลักษณ์ของเมืองเชฟชาอูน ที่บ้านเรือนทาเป็นสีฟ้า ทั้งหมดซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวยิวแรกเริ่ม ด้วยความเชื่อว่าสีฟ้าเป็นตัวแทนของท้องฟ้าและสรวงสวรรค์ และแท้จริงคือสีฟ้าเป็นสีที่ช่วยไล่ยุงได้ดี บ้านเรือนที่นี่จึงมีสีฟ้าและสีขาวทาสลับทำให้เดินไปทางไหน มองไปทางไหน ก็รู้สึกสดชื่นสบายตาสบายใจ นับว่าเป็นเมืองที่สวยงดงามห้ามพลาดมาเช็คอินเที่ยวโมรอคโคกัน 

2. เมืองคาซาบลังก้า (Casablanca) เที่ยวโมรอคโคต้องมาเมืองท่าเมืองหลักที่คาซาบลังก้า “คาซาบลังก้า” หลายคนจะไม่นึกถึงว่าเมืองท่าหรือเมืองหลักของประเทศโมรอคโค แต่กลับนึกถึงภาพยนตร์รักอเมริกันที่ฉายในปี 1942 เป็นหนังยอดเยี่ยมตลอดกาล ลองมาดูเรื่องย่อกันเลยคะ เรื่องราวในหนังนี้เกิดขึ้นที่เมืองท่าตอนเหนือของโมรอคโค ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั้งเศสถูกรุกจากนาซี ทำให้คนอยากหนีอพยพไปอเมริกา แต่ต้องขอวีซ่าให้ผ่าน ณ เมืองคาซาบลังก้า โดยเนื้อเรื่องเกิดขึ้นคือ ริค เจ้าของไนท์คลับ ที่ฝังใจกับหญิงสาว ที่ทิ้งเขาไป และเขาต้องอพยพมาอยู่ที่นี่ ทำให้ ริคใช้ชีวิตผ่านๆไป อย่างไร้จุดหมาย แต่แล้ววันหนึ่ง หญิงสาวที่ทิ้งเขาไปก็ปรากฎตัว กับแฟนหนุ่ม นักปฎิวัติที่หนีออกมาจากค่ายกักกันชาวยิวได้ ซึ่งทั้งสองต้องการอพยพไปอเมริกา ที่สำคัญคือ ริค มีวีซ่าสำหรับ 2 คน ไปอเมริกา แล้วริค จะทำอย่างไร เมื่อถูกหญิงสาวที่ทิ้งเขาไป มาอ้อนวอนขอวีซ่า จากเขา เพื่อจะได้ไปอเมริกา กับชายหนุ่ม..**หนังเรื่องนี้มีมุม ให้คิดและคาดเดาไปตาม ริค ตลอด **ลองตามหนังขาวดำที่คลาสิกดูนะคะแต่ถ้าไป คาซาบลังก้า อย่าพลาดเที่ยว Rick’s Cafe ไปดื่มด่ำบรรรยากาศคาเฟ่ตามรอยหนังดังกันนะคะ
การเที่ยวโมรอคโค ในเมืองคาซาบลังก้า ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาคือ สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 Hassan II Mosque เป็นสุเหร่าที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของโมรอคโค ต้องไปเห็นความยิ่งใหญ่และงดงามกับตาด้วยตัวคุณเอง สุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในโมอรโค และใหญ่อันดับสองของทวีปแอฟริกา สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคผสมศิลปะแบบอิสลามผสมทุกแขนง ทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล การเที่ยวชมขอแนะนำให้ท่านซื้อตั๋วแบบเข้าชมด้านใน ราคาประมาณ 12 ดอลล่าร์ เวลาเข้าชมด้านในจะมีไกด์เป็นรอบๆ เริ่มรอบ 9.00 10.00 11.00 และ 14.00 การเข้าชมด้านในจะพบโถงขนาดใหญ่ที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ด้านในประดับประดาด้วยโคมไฟชานดาเลียที่วิจิตรการ และมีหลังคาที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค คือออกแบบให้หลังคาเลื่อนปิด-เปิดให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ ใต้สุเหร่าติดตั้งเครื่องทำความร้อนที่ทำให้พื้นอุ่นในฤดูหนาว ประตูเหล็กขนาดใหญ่ใช้ระบบไฟฟ้าในการปิด-เปิด เลื่อนขึ้น-ลง เป็นอีกหนึ่งมห้ศจรรย์ในการเที่ยวโมรอคโค 

3. เมืองราบัต (RABAT) เที่ยวโมรอคโค ที่เมืองหลวงของประเทศโมรอคโค ผู้คนมักคิดว่า คาซาบลังก้าเป็นเหมืองหลวงเนื่องจากเครื่องบินมักลงที่สนามบินเมืองคาซาบลังก้าเป็นหลัก แต่หากว่า การเที่ยวโมรอคโค แล้วไม่ได้มาเที่ยว เมืองราบัต อันเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่อันดับ 2 ของโมร็อกโก ที่นี่เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากนานาประเทศ เมืองนี้โดดเด่นเป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญห้ามพลาด อันได้แก่ สุเหร่าหลวง Hassan Mosque ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่า เพื่อประกอบศาสนกิจ ที่นี่เป็นสุเหราที่สร้างไม่เสร็จ มีหอสูง ที่มองเห็นได้แต่ไกลจากทุกมุมเมืองในกรุงราบัต ถ้าหากว่าการก่อสร้างสุเหร่าแห่งนี้สำเร็จในสมัยนั้น จุดประสงค์ขอการสร้างสุเหร่านี้ คือเป็นอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะที่กษัตริย์โมรอคโคมีชัยในการรบกับกษัตริย์สเปนที่เมือง Alarcos แต่เมื่อกษัตริย์ฮัสซันสวรรคตในปีค.ศ.1199 สุเหร่าก็ถูกทิ้งร้างไม่มีการก่อสร้างต่อ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กลุ่มหอสูงตรงกลางได้โค่นล้มลงมาและยังมี สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 Mohamed V Mousoleum พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปเคารพพระศพที่ฝั่งอยู่้เบื้องล่าง แต่ทว่าการเที่ยวโมรอคโคแล้วไม่ได้สัมผัสเสน่ห์เมืองราบัต ที่ ป้อมอูไดยะ ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ด้านในเป็นเมดิน่าเป็นย่านหรือชุมชนเมืองเก่า บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น…ลองมาทายซิว่า ทำไมเมดิน่าแห่งนี้ จึงใช้สีฟ้าทาบ้านเรือนกัน.. 

4.เมืองเมกเนส (Maknes) เที่ยวโมรอคโค ต้องมาเที่ยวหนึ่งในเมืองหลวงในอดีต เมกเนส เมืองมรดกโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก้เป็น Historic City ในปี 1996 มาเที่ยวเมืองนี้ ต้องมาชมประตูและกำแพงโบราณล้อมรอบเมืองเก่า ยาวกว่า 40กิโลเมตร ซึ่งเดิมเคยมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 14 ประตู และอย่าพลาดเที่ยวโมรอคโค ต้องได้เดินเล่นแล้ะวไปถ่ายรูปที่ ประตูบับมันซู (Bab Mansour Monumental Gate) ที่ได้ชื่อว่าเป็นประตูสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสดที่เมืองเมกเนส แล้วยังมีย่านเมดิน่าของเมืองที่น่าเดินช้อปปิ้ง่ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายผลไม้อบแห้ง ถั้่วหลากหลายชนิด ร้านค้าขายพรม รองเท้า ร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวช้อปปิ้งได้เพลิดเพลิน สถานที่ เที่ยวโมรอคโค อีกแห่งใกล้เมืองเมืองเมกเนส คือ เมืองโรมันโบราณโวลูบิลิส อยู่ห่างจากเมกเนส 30 กิโลเมตรเมืองโวลูบิลิส เมืองโรมันโบราณที่ยูเนสโก้ได้ประกาศเป็น Archaeological Site ในปี 1977 แม้จะดูซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต เมืองนี้ประกอบด้วยอาคารที่สวยงามมากมาย ยังมีหลักฐานร่องรอยอยู่เป็นจำนวนมาก นับเป็นแหล่งโบราณคดีที่ยอดเยี่ยม เราจะได้เห็น พื้นกระเบี้องโมเสคที่สวยงามของคฤหาสน์ บ้านเศรษฐี เสาหินอ่อน ท่อส่งน้ำโบราณ อาคารศาลาหอประชุมเป็นต้น 

5. เมืองเฟส (FEZ) เที่ยวโมรอคโค เที่ยวเมืองหมื่นตรอก เมืองเฟส เป็นอีกเสน่ห์ของการเที่ยวโมรอคโค คือการเดินในเขตเมืองเก่าหรือเมดิน่า เริ่มต้นก่อนเดินเข้าจะต้องผ่าน ประตูสีฟ้า Blue Gate ซึ่งสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของศิลปะอิสลาม มีลวดลายกระเบื้องเคลือบ งานเซลลิจฟ้าสลับขาว เป็นศิลปะชั้นยอดของโมร็อกโก ได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักร ไบเซนไทน์ ช่วงยุคโรมัน เป็นกระเบื้องเคลือบสีแผ่นเล็ก ๆ ฝังอยู่ในซีเมนต์หรือปูนพลาสเตอร์ ประดับตามพื้นลาน เพดาน กำแพง น้ำพุ แต่งานเซลิจ จะถูกตัดเป็นรูปทรงเลขาคณิตต่างๆ ต่อเข้ากันเป็นลวดลายและสีสันต่าง ๆ ซึ่งเป็นศิลปะที่มีชื่อเสียงมากของโมร็อกโก เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปจะพบตรอกซอยเล็ก ๆ มากมาย วกวน ซับซ้อนเปรียบเสมือน เมืองหมื่นตรอก ซึ่งยุคอิสลามเก่าแก่ถนนเมืองหลวงหลาย ๆ เมืองจะมีความเหมือนกันคือความวกวน ซับซ้อน เหมือนเขาวงกต ไม่แปลกที่หลายคนจะไปหลงอยู่ในซอย เป็นอีกเสน่ห์ของการเที่ยวโมรอคโคที่จะเดินกันแบบลูกเป็ดในเมดิน่า และเดินพลาดผ่านตรอกซอยที่เล็กสุดไม่เกิน 50 เซนติเมตร คงต้องตะแคงเดินสำหรับบางคน เดินผ่านกันอาจได้ยินภาษาท้องถิ่น บารัค บารัค คือให้ระวัง เพราะจะมีลา ที่เค้านำมาใช้ในการขนส่งของเข้าตลาด นอกจากนี้ในการเที่ยวโมรอคโค ต้องมาเที่ยวที่ พระราชวังเฟส ซึ่งสร้างสมัยปี ค.ศ.1276 ประตูทองเหลืองจำนวน7บาน สูงเป็นรูปโค้งเกือกม้าสีทองอร่าม ประดับด้วยไม้และหินอ่อนตามแบบฉบับของศิลปะอิสลาม ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค เที่ยวโมรอคโค ห้ามพลาดการไปเที่ยวชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้ ที่นี่เป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบเครื่องหนังให้กับกระเป๋าหนังแบรนด์ดังของยุโรป ที่นี่เป็นบ่อฟอกเครื่องหนังที่เก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษ11 ให้บริการแก่สมาชิกครอบครัวเครื่องหนังกว่า 60 ครอบครัวที่ทำงานเครื่องหนัง ดาดฟ้าของร้านจะขายเครื่องหนังซึ่งส่วนใหญ่ จะมีดาดฟ้าให้มองเห็นภายในโรงฟอกหนัง จะมองเห็นหลุมรังผึ้งขนาดใหญ่ แต่ละหลุมจะมีส่วนผสมของน้ำยาฟอกหนังได้แก่น้ำ เกลือ หินปูน และ ขี้นกพิราบซึ่งมีถือเป็นส่วนประกอบของแอมโมเนีย อันทำให้หนังนุ่ม ส่วนหนังของสัตว์มีหลายชนิด เช่นแกะ แพะ และอูฐ ถูกน ามาจุ่ม แช่ และนวดในหลุมเหล่านี้ ส่วนหนังที่ฟอกจนขาวแล้วก็จะนาไปขึงตากให้แห้งก่อนส่งต่อไปยังบ่อหลุมเพื่อย้อมอีกที ก่อนจะถูกนำไปผลิตเป็นกระเป๋า รองเท้า เสื้อหนังเป็นต้น 

6. เมืองเมอร์ซูก้า (MERZOUGA) เที่ยวโมรอคโคต้องมาเช็คอินที่ ทะเลทรายซาฮาร่า วันที่่รอคอยมาถึงแล้ว การเที่ยวโมรอคโค เข้าไปยังทะเลทรายที่เมืองเมอร์ซูก้า ต้องมานั่งรถโฟรวิลด์ 4*4 เพื่อเข้าไปในทะเลทรายซาฮาร่าที่ใฝ่ฝัน ที่นี่เป็นทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่สุดของโลก ยามค่ำคืนของที่นี่ ต้องมานอนนับดาวบนท้องฟ้าได้สบายๆ เปรียบเหมือนนอนโรงแรมระดับล้านดวง อากาศค่อนข้างเย็นในเวลาค่ำคืนและตอนเช้า รุ่งเช้าของวันนี้ที่เที่ยวโมรอคโค คือรอถึงเวลาเมื่อ 5.30 amหรือเช้าตรู่ เพื่อเราเตรียมตัวไปขี่อูฐ ก่อนไปพวกเราได้แปลงกายเป็นหนุ่มสาวชาวเบดูอิน และเบอร์เบอะ เราขี่อูฐไปกว่า 15-20 นาที ถึงเนินทราย sand dune ที่สวยงดงามเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น การเดินขึ้นเนินทรายเป็นการออกกำลังกายและใช้พลังแรกของวันได้อย่างดี เราต้องพิชิตแสงตะวันแรกของวันงดงาม และเติมพลังให้สดชื่น…หากมีโอกาส ต้องมาให้ได้ครั้งหนึ่งนะคะ รับรองไม่ผิดหวัง เมื่อตอนตั้งปณิธานว่าถ้ามาเที่ยวโมรอคโค ต้องมาพักกลาง ทะเลทรายซาฮาร่า มาขี่อูฐ มานับดาว มาสัมผัสเนื่อทรายสีส้มเม็ดละเอียดมาก เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ของการเที่ยวโมรอคโค 

7. เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) เที่ยวโมรอคโค ต้องมาเยือนเมืองถ่ายหนัง ฮอลีวู้ด แห่งโมรอคโค เมืองวอซาเซท ชื่อนี้ตั้งมาจากชาวเบอร์เบอะดั้งเดิมแปลว่า ปราศจากเสียงและความวุ่นวาย ในอดีตเมืองนี้เป็นศูนย์กลางเส้นทางการค้าของพ่อค้าแอฟริกันจะเดินทางขึ้นไปยังเมืองตอนเหนือของโมรอคโคและยุโรป แม้เมืองนี้จึงเป็นเมืองเล็กๆ อันเงียบสงบ ไม่พลุกพล่านเมื่อมาเยือน เพราะที่นี่มีคนอยู่อาศัยประมาณหกหมื่นคน ซึ่งโดยมากมีอาชีพเป็นนักแสดง เป็นดาราตัวประกอบหนังฮอลีวู้ดนั่นเอง มาที่นี่อาจจะพบกับกองคาราวานถ่ายทำหนังและดาราชั้นนำฮอลีวู้ดมาถ่ายทำหนังแนวอดีต เช่น Lawrence of Arabia, The Mummy, Gladiator และGame of Thrones เป็นต้น 
หากเที่ยวโมรอคโค เมืองนี้คือ ต้องมาชมโรงถ่ายหนัง และแอคชั่นเก็บภาพถ่ายรูปตามจุดดั่งเราเป็นพระเอกนางเอกเลย และยังไปเที่ยวชม พิพิธภัณพ์ภาพยนต์ Cinema museum มีค่าเข้าชม 30 เดอแฮม ซึ่งตั้งอยุ่ตรงข้ามกับป้อมทาเริท Taourirt Kasbah เป็นอีกจุดที่ต้องมาชม เป็นป้อมขนาดใหญ่ที่ภายในมีอาคารเล็ก จำนวนมากซ่อนอยู่ภาพในป้อม รวมถึงมีพระราชวังของผู้ปกครองมาราเกซ ตระกูล กลาวี (Glaoui Palace) อยู่ภายใน ซึ่งภายในมีลวดลายผนังจำนวนมาก มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า ยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด หากการเที่ยวโมรอคโค แล้วไม่ได้เข้าชมด้านในป้อม อาจทำให้การเที่ยวไม่ได้รับอรรถรสการชมรูปแบบศิลปลวดลายที่ทำให้หลงใหลอีกหนึ่งเสน่ห์เที่ยวโมรอคโค 

8. เมืองไอท์ เบน ฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวโมรอคโค ห้ามพลาด เมืองนี้เป็นเมืองที่เชื่อมระหว่างทะเลทรายซาฮาร่ากับเมืองมาร์ราเกช เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง การเดินเที่ยวเมืองนี้เป็นการเที่ยวแบบกลางแจ้ง เพื่อไปเดินเที่ยวชมป้อมอันใหญ่และงดงามที่สุดในโมรอคโคใต้ คือ ป้อม ไอท์ เบนฮาดู เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้ ที่นี่เราจะได้เดินชึ้นไปด้านบนของป้อม ระหว่างทางขึ้นไปจะได้พบกับสถานที่ถ่ายทำในหนังบางเรื่อง ร้านค้าขายของพื้นบ้านและทีระลึก และด้านบนสุดจะเป็นไซโลที่เก็บของกินของใช้ในอดีต และสามารถชมวิวรอบด้าน360องศาที่มีทิวทัศน์สวยงามแปลกตา 

9.เมืองมาราเกซ (Marrakesh) การเที่ยวโมรอคโคให้ถึงความเป็นโมรอคกัน ต้องไปเที่ยวเมืองมาราเกซ นั่นเอง เสน่ห์ของเมืองมาราเกซ ถึงกับมีผู้กล่าวไว้ว่าเป็นแอฟริกันยิ่งกว่าคาซาบลังกา เป็นโมรอคกันยิ่งกว่าราบัต และเป็นเบอร์เบอะเสียยิ่งกว่าเฟซ มาร์ราเกชจึงมีบรรยากาศมีกลิ่นไอของชนบทมากกว่าโฉมหน้าที่เห็นว่าเป็นเมืองสมัยใหม่ของโมรอคโค ที่นี่มีที่เที่ยวเด่นๆ ไม่ว่าจะเป็น จัตุรัสกลางเมือง (เจมา เอล ฟนา - Djemaa El Fnaa) ตั้งอยู่ใจกลางย่านเมืองเก่า มีจัตุรัสที่มีชื่อเสียงที่สุดของมาร์ราเกช เป็นที่รวมผู้คนและกิจกรรมของชาวมาร์รา เป็นสมือนเวทีการแสดงกลางแจ้งที่มีชีวิตชีวาและสีสันมากที่สุดในโลก เพราะมีการขายของ การละเล่นพื้นเมือง เป็นที่ทำมาหากินของหมอดู นักเล่นกล ช่างตัดผม ช่างถอนฟัน ตลอดเช้าจรดค่ำ แล้วที่โดนเด่นก็คือ รถเข็นขายน้ำส้ม ที่จอดเรียงรายกันเป็นทิวแถว ใกล้ๆกันมี สุเหร่ากูตูเบีย (Koutoubia Minaret) เป็นสุเหร่าที่มีหอคอยสูงตระหง่าน 70 เมตร สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 12 ได้ชื่อว่าเป็นอนุสรณ์สถานของชาวมุสลิมที่สมบูรณ์ที่สุดในแอฟริกาเหนือ ไม่ว่าจะมองไปจากมุมไหนๆของเมืองก็จะเห็นหอสวดตั้งเด่นตระการตา นับว่าเป็นแลนด์มารก์ของเมือง อีกที่ไม่ควรพลาดในการเที่ยวโมรอคโค เมืองมาราเกซคือ สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนอีฟแซงท์ ลอเร้นท์ Yves Saint Laurent Gardens ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ยิปแซงลอเร้นซ์มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์ บ้านหลังนี้เคยตกเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกช หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกช ก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้ และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้สีฟ้า และสีส้มเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสา แจกัน และชมนานาพรรณของต้นไม้แห่งทะเลทราย ที่จัดได้อย่างสวยงาม นอกเหนือจากสวนอันงดงาม ยังมีพระราชวังบาเอีย สุสานซาเดียน เป็นอีกสถานที่เทียวโมรอคโคที่ไปกัน 

10. เมืองเอซาเวร่า (Essaouira) เที่ยวโมรอคโค เมืองฮิปปี้ ทุกมุมมองคืองานศิลป์อันรื่นรมย์ หากชื่อเมืองเอซาเวร่า มีความหมายว่า “รูปภาพ” คงเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับผู้มาเยือน คือไม่ว่าจะถ่ายรูปจากมุมไหนๆของเมืองนี้ก็จะได้ภาพออกมาสวยอย่างไม่มีที่ติ โดยจะมีบ้านเรือนที่ตกแต่งด้วยสีฟ้า-ม่วงเป็นฉากหลังของภาพเสมอ ซึ่งภายในบ้านเรือนเหล่านี้จะมีสถาปัตยกรรมมาจากวัฒนธรรมอันหลากหลาย เมืองนี้เป็นแหล่งของที่พักริมฝั่งแอนแลนติกของโมรอคโค ที่มีเกาะ Mogador เป็นที่ป้องกันอันตรายจากธรรมชาติทางทะเล และที่นี่มีสถานที่เด่นในการเที่ยวโมรอคโคคือ ป้อมปราการเมือง Skala de laville ซึ่งเป็นป้อมจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเมืองตั้งริมมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนบนของป้อมมีปืนใหญ่วางเรียงรายอยู่เป็นแนวแถวและในอดีตส่วนล่างของป้อมใช้เป็นคลังเก็บอาวุธทโธปกรณ์ โรงม้าศึกที่ใช้ในการสงครามนั่นเอง หากมาเมืองเอเซเวร่าแล้ว อย่าพลาดการไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นอีกหนึ่งความประทับใจของที่นี่ เดินเล่นชมเมือง ถ่ายภาพ และช้อปปิ้งตามตรอกซอกซอยในเมดิน่า ไม่ว่าจะพบร้านกาแฟนั่งจิบ ร้านค้าเล็กๆ ขายภาพวาดสี ไม่ว่าจะเป็นภาพผุ้คน วิวทิวทัศน์ของทะเล ร้านค้าขายผ้าถักทอ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า พรม ร้านค้าขายน้ำมันแอร์กัน ร้านค้าขายของชำ ร้านหนังสือ เป็นต้น ก่อนกลับไปยังเมืองคาซาบลังก้า เราจะนำท่านผ่านเที่ยวโมรอคโค อีกเมือง คือ เมืองเอลจาดีด้า (El Jadida) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นเมืองโบราณที่เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ของโมร็อกโกที่ทำการค้ากับชาวฟินีเชียน ปี ค.ศ.1502 ชาวโปรตุเกสขึ้นฝั่งที่นี่และได้สร้างป้อมปราการ เรียกว่า El Brijia El Jaida และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของโมร็อกโกในปี ค.ศ. 2004 เมืองท่าแห่งอาณานิคมโปรตุเกส ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งแอตแลนติก มาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยเป็นเมืองปราการที่แข็งแกร่ง ที่รายล้อมไปด้วยป้อมปราการแบบสถาปัตยกรรมทางการทหารแบบเรอเนสซองส์ ด้วยความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการ ที่มีปืนใหญ่บนกำแพงเมืองที่หันหน้าสู่ทะเลไว้ป้องกันข้าศึกรุกรานและความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองที่ยังสมบูรณ์ ซึ่งทอดยาวไปตามหาดทรายอันสวยงาม มันเป็นเสน่ห์และมนต์ขลังยังจากรึกให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ภายในป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ ยังมีอ่างเก็บน้ำใต้ดิน (Underground cistern) สิ่งก่อสร้างที่ถือว่ามีความยิ่งใหญ่มากที่สุดในเมืองเอล จาดิดา ซึ่งภายในได้รับการตกแต่งอย่างงดามในรูปแบบเรเนสซอง โดยอ่างเก็บน้ำถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1514 และต่อมาในปี 2004 องค์การยูเนสโกได้รับรองให้เมืองเอล จาดิด้า เป็นมรดกโลก

Top